กิจกรรมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและศึกษาดูงานของคณะกรรมมาธิการฯ

      วันที่ 10 มกราคม 2567 ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดน่าน มอบหมายให้สำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดน่าน โดยนายอนุกุล กองแก้ว หัวหน้าส่วนยุทธศาสตร์การเกษตร เข้าร่วมกิจกรรมศึกษาดูงานและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ร่วมกับคณะกรรมาธิการการแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา นำโดยรศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา และหน่วยงานภาคีที่ร่วมขับเคลื่อนการดำเนินการด้านน้ำในพื้นที่ตำบลบ่อสวก เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความยากจน ด้วยกลยุทธ์ ” การสร้างฝายชะลอน้ำแกนดินซีเมนต์ ” ณ หอประชุม วัดม่วงเจริญราษฎร์ ตำบลบ่อสวก อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน

       พื้นที่ตำบลบ่อสวกโดยความร่วมมือกับสำนักงานสภาเกษตรกร จังหวัดน่าน สำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย องค์การบริหารส่วนตำบลบ่อสวก, ตำบลนาซาว, ตำบลเรือง, และภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้มีการจัดตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำ และแต่งตั้งคณะทำงานบริหารจัดการน้ำระดับตำบลบ่อสวก เพื่อเพิ่มความสามารถในการวางแผนการบริหารจัดการน้ำระดับพื้นที่ มีการเก็บข้อมูลสำรวจเส้นทางน้ำและอัพเดทข้อมูลในระบบ Datastudio และกำหนดจุดในการสร้างฝายแกนดินซีเมนต์ 350 ฝาย ขณะนี้สร้างแล้วเสร็จไปแล้ว 67 ฝาย ส่งผลให้เกิดการชะลอน้ำ ลดความเสียหายจากน้ำป่าไหลหลาก ลดปัญหาน้ำท่วมในตัวเมืองน่าน พื้นที่การเกษตรหลังมีฝายสามารถนำน้ำมาใช้ประโยชน์ในการเกษตรหลังฤดูทำนาได้ เกษตรกรมีช่องทางเลือกในการประกอบอาชีพทางการเกษตร เกิดเกษตรผสมผสานที่ลดการใช้สารเคมี สุขภาพประชาชนดีขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน เพิ่มรายได้จากการมีปัจจัยการผลิตด้านน้ำที่เพียงพอและเหมาะสม เกิดความเป็นธรรมในการใช้น้ำในพื้นที่ และเกิดกระบวนการใช้น้ำอย่างคุ้มค่า เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น สามารถปลูกพืชผักได้ตลอดทั้งปี และปัจจุบันมีการ MOU พัฒนาลำน้ำซาวด์ โครงการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัยแบบมีส่วนร่วมด้วยการสร้างฝ่ายแกนดินซีเมนต์บริเวณลำน้ำซาว โดยจะมีการอบรมเชิงปฏิบัติการพร้อมสนับสนุนวัสดุสำหรับสร้างสายจำนวน 60 ฝาย คือ ตำบลบ่อสวก 20 ฝาย และตำบลข้างเคียงได้แก่ตำบลนาซาว 20 ฝาย ตำบลเรือง 20 ฝาย พร้อมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการถ่ายทอดองค์ความรู้แก่เกษตรกรบริเวณฝายแกนดินซีเมนต์ในเรื่องการทำเกษตรมูลค่าสูง โดยพิจารณาตามบริบทพื้นที่และความถนัดของเกษตรกรโดยประสานหน่วยงานภาคีเครือข่ายเพื่อเข้าสนับสนุนต่อไป